วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ประวัติความเป็นมาของเครื่องสำอางจากอดีต

     มีคนให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า เครื่องสำอางค์ หมายถึง สิ่งปรุงแต่งอย่างหนึ่งที่นำมาใช้สำหรับผิวหนัง หรือส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตามของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม อันได้แก่ ทา ถู พ่น นวด และโรย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อการรักษาความสะอาดของร่างกาย หรือเพื่อแต่งเติมให้ร่างกายสวยงาม หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะ ให้ดูสะดุดตาและดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็น คำว่าเครื่องสำอาง หรือคอสเมติก (cosmetics) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ คอสเมติคอส (kosmetikos) ซึ่งมีความหมายว่า ตกแต่งให้สวยงามเพื่อดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น (คำว่าคอสมอส kosmos นั้นก็แปลว่า เรื่องประดับด้วยเช่นกัน)


     ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงนั้นมักจะให้ความสำคัญต่อรูปลักษณ์เป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม มีคนเคยทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ในบทความว่า การใช้เครื่องสำอางถือว่าเป็นการใช้ศิลปะอย่างหนึ่ง โดยในงานวิจัยนี้ได้อ้างถึงการค้นพบเครื่องสำอางมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ  โดยการยกตัวอย่างถึงประเทศจีนโบราณ อียิปต์โบราณ อินเดียโบราณ ไปจนถึงประเทศกรีกโบราณ ในงานวิจัยนั้นมีหลักฐานยืนยันว่าในยุคที่อารยะธรรมของกรีกเฟื่องฟูนั้น เครื่องสำอางและเครื่องหอมก็เฟื่องฟูไปด้วยเช่นกัน เพราะมีการแบ่งแยกกันระหว่างยาที่ใช้ทางการแพทย์และเครื่องสำอางและเครื่องหอมที่ใช้ประทินผิวออกจากกันโดยสิ้นเชิง เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมทางศาสนา ใช้ไปใช้มา ชาวกรีกโบราณก็เลยใช้กันทุกวันต่อเนื่องสม่ำเสมอจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเลย และมีการบอกต่อๆกันว่ามีผลดีด้านการประทินผิว ทำให้เครื่องสำอางในยุคกรีกโรมันรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด จนกระทั่งค่อยๆเสื่อมลงไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน



      แต่บางงานวิจัยนั้นแย้งว่า ประเทศอียิปต์โบราณเป็นประเทศแรกที่นำเครื่องสำอางมาใช้ก่อน โดยอ้างจากที่นักโบราณคดี ได้มีการศึกษาและสันนิษฐานเอาไว้ว่า ประเทศทางตะวันออกโดยเฉพาะประเทศอียิปต์โบราณ ได้มีการใช้เครื่องหอมในพิธีการทางศาสนา  ต่อมาได้พัฒนาโดยการนำเอาน้ำมันพืชมาทาตามตัว หรือเอามาอาบเคลือบผิวศพเพื่อป้องกันไม่ให้ศพเน่าเปื่อย  และมีหลักฐานทางโบราณคดีว่า มีการใช้เครื่องหอมเพื่อเป็นเครื่องสำอาง นานมาเกือบ 5000ปี  จนถึงยุคที่มีพระนางคลีโอพัตราเป็นราชินี รู้จักวิธีการใช้ศิลปะการตกแต่งใบหน้าและร่างกาย ทำให้การใช้เครื่องสำอางเป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ต่อมาเมื่อการพัฒนาคมนาคมให้สะดวกขึ้น ทำให้เกิดมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันภายในประเทศในแถบตะวันออก การใช้เครื่องสำอางจึงได้แพร่หลายไปทั่วในแถบนี้ แพร่ไปจนถึงไซบีเรีย  เปอร์เซีย บาบิโลน  จนไปถึงประเทศกรีก โดยมีศูนย์กลางของความเจริญด้านวิทยาการเครื่องสำอางที่ประเทสกรีก จนมีการพัฒนาความรู้เรื่องเครื่องสำอางเฟื่องฟูดังที่กล่าวไปแล้วในบทความข้างต้น ครั้นต่อมาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้ายึดประเทศอียิปต์จนได้รับชัยชนะ  จึงทำให้ความรู้เรื่องเครื่องสำอางมีการพัฒนาแพร่หลายจนมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย  และสมัยที่จูเรียสซีซ่าร์ รบชนะประเทศกรีก  ก็ได้รับวิทยาการเครื่องสำอางจนากประเทศกรีกมาเป็นศูนย์รวมอยู่ที่กรุงโรม  ต่อมาเมื่ออาณาจักรโรมันค่อยๆเสื่อมลง วิทยาการของเครื่องสำอางจึงมาพัฒนาต่อเนื่องในทวีปยุโรป การพัฒนาเครื่องสำอางได้รับการพัฒนาจนมาถึงปลายคริสศตวรรษที่ 19 ที่ถือว่ามีการพัฒนาถึงจุดสุดยอดของการพัฒนาเครื่องสำอาง โดยมีการแบ่งเครื่องสำอางออกเป็นหมวดหมู่  มีวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐานมีสูตรตายตัว มีการใช้แอลกอฮออล์มาเป็นตัวทำละลายในเครื่องสำอาง มีเครื่องหมายการค้าชัดเจน เครื่องสำอางที่เกิดขึ้นในยุคนี้จะมีคุณภาพมากกว่าสมัยก่อนที่ใช้วิธีการลองผิดลองถูก กันมาเป็นเวลาหลายพันปี ในยุคนี้มีการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ ของแต่ละบริษัทที่จัดทำขึ้นเป็นรายได้เข้าประเทศมากมาย ในช่วงนั้น มีการแข่งขันกันสูงระหวส่างประเทศฝรั่งเศส และประเทศสเปน ต่อมาแต่ละประเทศได้นำได้นำความรู้ทางด้านวิชาเคมี มาผสมผสานกับกรรมวิธีในการผลิตเครื่องสำอางจึงเป็นจุดกำเนิดที่สำคัญของเครื่องสำอางแบรนด์ดังในแต่ละประเทศในเวลาต่อมา

ที่มา : http://www.sakurabag.net/article