วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เครื่องสำอางในกระเป๋าคุณปลอดภัยหรือเปล่า?


     พระราชบัญญัติ เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 หมายถึงวัตถุที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใดกับภายนอกของส่วนของร่างกาย เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะที่เป็นอยู่ไปในทางที่ดีขึ้น รวมทั้งเพื่อระงับกลิ่นกาย หรือปกป้องดูแลสภาพผิวบริเวณที่ใช้ให้อยู่ในสภาพที่ดี รวมทั้งสิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องประทินสำหรับผิวต่างๆ พูดแปลเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ เครื่องสำอาง ก็คือ สิ่งทีใช้กับร่างกายมนุษย์เพื่อความสะอาด และความสวยงามเท่านั้น แต่หากมีการประชาสัมพันธ์สรรพคุณมากกว่านี้ โดยอ้างว่า สามารถรักษา บำบัด บรรเทาอาการ ป้องกันโรค รักษาโรค หรือมีผลต่อโครงสร้างต่างๆ ของร่างกาย ที่มีสรรพคุณทางยา เช่น ลดความอ้วน เป็นต้น ในความหมายทางการแพทย์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางยา ไม่ใช่เครื่องสำอาง ยกตัวอย่างเช่น สบู่ลดความอ้วน ครีมสร้างเสริมทรวงอก น้ำยาสำหรับปลูกผม โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น น้ำยาฆ่าเชื้อจุดซ่อนเร้น ครีมทาฆ่าเชื้อโรคเพื่อลดอาการอักเสบของสิว ครีมลดอาการคัน ต่างๆ เหล่านี้ ทางการแพทย์ถือว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณยา ต้องขึ้นทะเบียนยาตามกฏหมาย


     ดังนั้น เครื่องสำอางที่วางขายตามท้องตลาดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ แชมพู แป้ง โลชั่นบำรุงผิว โลชั่นกันแดดต่างๆ น้ำหอม ลิปสติก เครื่องสำอางสำหรับทาแก้มทาตา หรือทาเล็บ หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผม เป็นต้นว่า สเปรย์ฉีดผม มูส เจล น้ำยาย้อมผม ต่างๆเหล่านี้ ล้วนจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมทั้งหมด โดยตามพระราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2558 ที่ผู้ที่ประกอบธุรกิจ จะต้องมาแจ้งต่อสำนักงานองค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อทำการขออนุญาตในการ ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่าย จ่ายแจก หรือแลกเปลี่ยน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ทางการค้าเป็นหลัก เพื่อให้ผู้บริโภค หรือผู้ใช้ มีความมั่นใจและรู้สึกปลอดภัยได้ว่า สามารถที่จะซื้อใช้เครื่องสำอางต่างๆ ตามท้องตลาดได้โดยไม่มีอาการผิดปกติทางกายใดๆทั้งสิ้น

     เมื่ออ่านพระราชกิจจานุเบกษา ดังข้อความข้างต้น เลยต้องมานั่งคัดแยกกระเป๋าของตัวเอง กังขาว่า เอ๊ะแล้ว เครื่องสำอางของเราในกระเป๋าจะมีความปลอดภัยหรือไม่ ว่าแล้วก็ต้องไปนั่งทวนใหม่ เพราะในข้อความจากพระราชกิจจานุเบกษา ทำความเข้าใจยากเหลือเกิ๊น เกินกว่าที่คนมีความรู้เท่าหางอึ่งอย่างเราจะอ่านรวดเดียวแล้วเข้าใจได้ทันที หลังจากนั่งคุ้ยเขี่ย แคะแกะเกา เอาใจความแบบบ้านๆ ตามประสาเด็กบ้านนอกบ้านๆที่นานๆจะมาอ่านข้อกฎหมายสักที ใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ ก็สรุปได้ว่า

     เวลาที่เราจะซื้อเครื่องสำอาง ให้คำนึงถึงแค่ว่า ให้ซื้อเพื่อความสะอาดและความสวยงามเท่านั้น ถ้านอกเหนือจากนี้ เช่น ผลิตภัณฑ์นี้ เพิ่มอกที่เพื่อนๆล้อว่าจอแบน แป้บๆเท่าไข่ดาวจะขึ้นฟูอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1 เดือน หรือสบู่กระชับผิวทำให้บั้นเอวที่ประดุจดั่งใส่ห่วงยางซ้อนกันสักสามอันรวดนั้นลดลงภายใน 2 อาทิตย์ ละก็ อย่ามโนว่าจะเป็นจริงอย่างที่เขาบอกมา อย่าไปซื้อให้เสียสตางค์เลยคะ เพราะคนผลิตก็แอบผลิตกันไป ฝ่าย อย.ที่ควบคุมดูแลอยู่อาจ ควบคุมไม่ทันก็เป็นได้ มาทราบอีกที อ้าว ไอ้ยี่ห้อนี้ทำหน้าชั้นเสีย กว่าจะยื่นเรื่องฟ้องร้องกับ อย. ก็ขายไปได้กำไร ไม่รู้กี่สิบล้านไปแล้ว สาวบ้านๆอย่างเราพอเสียหายจากเครื่องสำอางแล้วก็ไม่รู้จะไปแจ้งกับใครอีก อย่ากระนั้นเลย เรามาเทกระเป๋าตรวจสอบกันเถอะคะ ว่าไอ้เจ้าเครื่องสำอางที่เราซื้อมาปลอดภัยหรือไม่ เริ่มเลยนะคะ
  1. ซื้อเครื่องสำอางมาจากร้านไหน เชื่อถือได้ไหม ถ้ามาจากตลาดนัดข้างบ้านแบบว่า ทุกอย่าง20 ละก็ ต้องดูให้ดี เทสก่อนใช้จริงว่าแพ้ไหม หรือไม่ก็โยนทิ้งซะ
  2. ฉลากต้องเป็นภาษาไทย ตัวหนังสืออ่านชัดเจนรู้เรื่อง (ของนำเข้าคนที่นำเข้าก็ต้องแปลให้เราอ่านออกและติดทับชัดเจน) โดยอย่างน้อยจะต้องมีตัวหนังสือชื่อเครื่องสำอางที่มีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น ต่อไปก็พิมพ์ตามลำดับนะคะ ได้แก่ ชื่อประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อของสารทุกชนิดที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางนั้น วิธีใช้ สุดท้ายคือชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้ที่นำเข้า และกรณีที่เป็นสินค้านำเข้าต้องมีชื่อผู้ผลิตและประเทศกำกับมาด้วยคะ ต่อไปที่จะต้องมี คือ ปริมาตรสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต เลขที่ที่แสดงครั้งที่ผลิต เดือน-ปี หรือบางยี่ห้อเป็นปี-เดือน ที่ผลิต ที่สำคัญอีกเรื่องคือ เดือน-ปี ที่หมดอายุคะ กรณีที่เครื่องสำอางนั้นมีอายุไม่เกิน 30 เดือน หรือมีส่วนผสมของไฮโดรเย่นเปอร์ออกไซค์ (Hydrogen peroxide)
  3. หีบห่อต้องอยู่ในสภาพดีไม่มีการรั่วหรือฉีกขาด

เพราะการใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐานนั้น ทำให้หน้าเราพังแบบธาวรได้ กลายเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม เพื่อรักษาหน้าให้กลับมาเหมือนเดิมอีก อย่าเห็นแก่ของถูกมากไปกันนะคะ อ่านถึงตอนนี้แล้ว ทิ้งเครื่องสำอางในกระเป๋าไปกี่ชิ้นแล้วคะ